นายวิชา วรสายัณห์ ลีดเดอร์ กลุ่มธุรกิจเฮาส์ซิ่งเทคโนโลยี บริษัท แอล เอช ที เอเซีย เซลส์ แอนด์ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด ผู้ผลิตประตูหน้าต่างอะลูมิเนียมแบรนด์ทอสเท็ม (TOSTEM) ภายใต้ลิกซิล คอร์ปอเรชั่น เปิดเผยว่า ปีนี้ทอสเท็มมุ่งขับเคลื่อนแบรนด์ด้วยแกนหลักสำคัญ คือ การนำนวัตกรรมสู่ตลาดที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม ภายใต้แนวคิด “RE-CONNECTING LIVES” หรือ การทำธุรกิจเพื่อให้ผู้อยู่อาศัยใกล้ชิดธรรมชาติมากกว่าเดิม เป็นส่วนหนึ่งในภารกิจ “FRAME THE FUTURE OF LIVING” พร้อมด้วยวิสัยทัศน์ด้านสิ่งแวดล้อม 2050 มุ่งสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นศูนย์ และใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืน
จึงได้นำเสนอนวัตกรรมล่าสุด กับนวัตกรรมอะลูมิเนียมรักษ์สิ่งแวดล้อม “PremiAL R100” ซึ่งผลิตจากอะลูมิเนียมรีไซเคิล 100% ที่โรงงานทอสเท็มไทย ตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมนวนครได้รับการรับรองจากฉลากสิ่งแวดล้อม EcoLeaf และ JIC Quality Assurance Ltd. โดยมีการตรวจสอบกระบวนการผลิตเพื่อให้แน่ใจว่าใช้อะลูมิเนียมรีไซเคิล 100% และไม่มีอะลูมิเนียมใหม่มาเจือปน ซึ่งการใช้อะลูมิเนียมรีไซเคิลจะช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 97% เมื่อเทียบกับการถลุงอะลูมิเนียมใหม่
คาดว่าจะช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ Scope 3 ลงถึง 30% ภายในปี 2031 โดยพร้อมจัดจำหน่ายเดือนเม.ย.2567 เป็นต้นไป และภายในบูธยังมีโซนที่จัดแสดงโชว์สินค้าแบรนด์ REVIA วัสดุปูพื้นทางเดิน จาก LIXIL ที่เริ่มจัดจำหน่ายในประเทศญี่ปุ่น 10 ม.ค. 2566
ซึ่งผลิตจากขยะพลาสติกและเศษไม้ ด้วยความเชี่ยวชาญของ LIXIL ในการบดย่อยและขึ้นรูปพลาสติก ผสานกับเศษไม้เหลือทิ้งจากการรื้อถอนอาคาร REVIA จึงสามารถผลิตจากขยะพลาสติกประเภทต่างๆ ได้เกือบทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นพลาสติกใช้ในครัวเรือน พลาสติกเชิงพาณิชย์ แม้กระทั่งพลาสติกผสม หรือแม้แต่พลาสติกที่ลอยในทะเล โดยการนำขยะพลาสติกและเศษไม้มาใช้ประโยชน์ในการผลิต REVIA 1 ตัน ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลงถึง 82%
สำหรับภาพรวมการดำเนินธุรกิจของทอสเท็มในปี 2567 คาดว่ายอดขายรวมจะเพิ่มขึ้น 20 % จากปีที่แล้วคิดเป็นมูลค่า 1,000 ล้านบาท มาจากการเปิดตัว PremiAL 100 คาดว่าจะขยายตลาดสู่กลุ่มลูกค้าไม่ว่าจะเป็นกลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ต้องการพัฒนาโครงการที่ยั่งยืนและเลือกวัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม หรือกลุ่มลูกค้าที่สร้างบ้านเอง แต่สนใจเรื่องสิ่งแวดล้อมได้เพิ่มมากขึ้น และยังดำเนินการตามแผนที่จะขยายตลาดไปยังกลุ่มลูกค้าอยู่อาศัยB to Cมากขึ้น ทั้งกลุ่มกลุ่ม Upper Mass และ Luxury Segment
ปัจจุบันได้ทำการเปิด TOSTEM Studio ไปแล้ว 13 แห่ง ในจังหวัดปทุมธานี, พิษณุโลก, อุดรธานี, ขอนแก่น, นครราชสีมา, กรุงเทพมหานคร, สมุทรปราการ, สงขลา, กาญจนบุรี, เชียงราย, ชลบุรี, อุบลราชธานี, และนครปฐม ซึ่งเป็นไปตามแผนการขยายโชว์รูมให้ครอบคลุมครบทั่วทุกภูมิภาคทั่วประเทศเพื่อการเข้าถึงผู้บริโภคได้เลือกซื้อ สัมผัส ทดลอง และเห็นสินค้าจริง เพิ่มอีก 7 แห่ง คาดว่าสิ้นปีจะขยาย TOSTEM Studio ให้ครบ 20 สาขา