ตลท. เปิดตัว SET Carbon ดึงดูดนักลงทุนด้วยข้อมูลคาร์บอนฟุตพริ้นที่ชัดเจน (ที่มา กรุงเทพธุรกิจ)

5 กุมภาพันธ์ 2568

KEY POINTS

    • ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จับมือกับกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม และธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK)
    • SET Carbon แพลตฟอร์มการจัดการข้อมูลก๊าซเรือนกระจกกลาง เปิดใช้งาน 16 มกราคม 2568 เป็นต้นไป
    • ทำให้การรายงานก๊าซเรือนกระจกแบบเดิม สามารถเชื่อมโยงกับข้อมูลของ 3 องค์กร ลดความซ้ำซ้อน
    • ความเสียหายทางเศรษฐกิจปี 2023 คือ 300,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดย 80% เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
    • คาร์บอนเครดิตที่ราคาสูงถึง 80 เหรียญต่อตัน และน่าจะสูงขึ้นเรื่อยๆ

    ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เปิดเผยว่า ปัจจุบันภาครัฐและผู้ลงทุนมีความต้องการข้อมูลคาร์บอนฟุตพริ้นท์มากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในปี 2567 มี บจ. ไทยประมาณ 30% เปิดเผยข้อมูลคาร์บอนฟุตพริ้นท์ได้อย่างครบถ้วน ขณะที่ยังมี บจ. อีกจำนวนมากที่ต้องการเครื่องมือช่วยจัดทำรายงานดังกล่าวให้รองรับกับกฎระเบียบที่เข้มงวดมากขึ้นและเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงแหล่งทุนสีเขียว

    เครื่องมือจัดการข้อมูลและคำนวณคาร์บอนฟุตพริ้นขององค์กรจึงมีความสำคัญอย่างมาก เทคโนโลยีเหล่านี้ช่วยให้องค์กรสามารถเห็นภาพรวมของการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG) ซึ่งช่วยให้ธุรกิจสามารถกำหนดกลยุทธ์และสอดคล้องกับเป้าหมายความยั่งยืนระดับโลก ตลาดหลักทรัพย์ฯ จึงพัฒนาระบบ SET Carbon แพลตฟอร์มการจัดการข้อมูลก๊าซเรือนกระจกกลาง ให้เป็นเครื่องมือจัดการข้อมูลและคำนวณข้อมูลคาร์บอนฟุตพริ้นขององค์กร ลดต้นทุน และเพิ่มความน่าเชื่อถือ

    โดยจับมือกับกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม และธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เพื่อทำให้การรายงานก๊าซเรือนกระจกแบบเดิม สามารถเชื่อมโยงกับข้อมูลของ 3 องค์กร ลดความซ้ำซ้อนในการทำงาน ถูกต้องแม่นยำ และเป็นที่ยอมรับในสากล

    ระบบเปิดได้ให้องค์กรธุรกิจใช้งาน 16 มกราคม 2568 เป็นต้นไป นอกจากนี้ ได้ลงนามบันทึกข้อตกลง เพื่อขับเคลื่อนการจัดการข้อมูลผ่าน SET Carbon ตั้งแต่ต้นทางของข้อมูล ไปจนถึงปลายทางในการนำข้อมูลมาให้พัฒนาผลิตภัณฑ์สินเชื่อสีเขียว ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อ บจ. เพื่อลดการรายงานซ้ำซ้อน และเพิ่มโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยเข้าถึงแหล่งทุนได้มากขึ้น

    เศรษฐกิจเสียหายเพราะ Climate Change

    นายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ช่วงที่ผ่านมา ประเทศไทยเกิดน้ำท่วมขึ้นบ่อย อาจเป็นเพราะมนุษย์เองที่สร้างผลกระทบขึ้นมา ดังนั้น ต้องมาคิดว่าเราจะทำอะไรได้บ้าง เพื่อช่วยโลกของเราในอนาคต

    ตัวเลข Global Economic Impact of Climate Change ความเสียหายทางเศรษฐกิจปี 2023 คือ 300,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดย 80% เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

    "ตอนนี้ทางยุโรปกำลังพิจารณาว่าจะไปทางไหนดี และอีกไม่นาน การนำเข้า-ส่งออกจะมีการพิจารณาเรื่องคาร์บอนเครดิตและการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากขึ้น ถ้าเราส่งออกไปยุโรปโดยไม่ได้เตรียมพร้อม อาจจะต้องมาซื้อคาร์บอนเครดิตที่ราคาสูงถึง 80 เหรียญต่อตัน และน่าจะสูงขึ้นเรื่อยๆ ตามที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้"

    ลงทุนด้านความยั่งยืนมาแรง

    นายอัสสเดช กล่าวว่า เห็นชัดว่าทั่วโลกให้ความสำคัญกับการลงทุนด้านความยั่งยืนมากขึ้น ตัวเลขเพิ่มขึ้นทุกปี โดยเมื่อ 2 เดือนก่อน กองทุนจากสวีเดนบอกว่าผู้ลงทุนของเขาให้ความสำคัญกับเรื่องความยั่งยืนมาก ในอนาคต ถ้าไทยจะขยายธุรกิจและระดมทุน เราต้องมีข้อมูลที่ชัดเจนระดับสากลเพื่อเข้าถึงแหล่งทุน ถ้าไม่มีข้อมูลครบ ความสามารถในการเข้าถึงทุนจะน้อยลง

    "เจ้าของต้นทุนเห็นเริ่มองค์ประกอบว่า ด้าน ESG คาร์บอน และข้อมูลมีความสำคัญต่ออนาคต เราจึงเห็นการเกิดของกองทุน ESG มากขึ้น หลายๆ บริษัทเริ่มสมัครเพื่อทำ ESG Rating มากขึ้น"

    ลงมือทำเพื่ออนาคต

    บทบาทของตลาดหลักทรัพย์ฯ ทำให้องค์ความรู้เรื่องความยั่งยืนเข้าใจง่ายขึ้น นอกจากนี้ ผู้บริหารในอดีตของตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังให้ความสำคัญและศึกษาเรื่องนี้มาร่วม 15 ปีแล้ว เริ่มต้นตั้งแต่ไทย ESG เรตติ้งตั้งแต่ปี 2015

    นายอัสสเดช กล่าวด้วยว่า เป้าหมายของตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังต้องการช่วยให้ บจ.เข้าถึงเครื่องมือหรือองค์ประกอบเกี่ยวกับเรื่องนี้ แสดงถึงความสำคัญของการวัดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เตรียมพร้อมสำหรับตัวเราเองในปัจจุบัน และสำหรับลูกหลานในการแข่งขันและอยู่อาศัยอย่างยั่งยืน

    โลกจะดีขึ้นจากการที่พวกเราผู้ใหญ่ปลูกต้นไม้ในวันนี้ แม้รู้ว่าตนเองจะไม่ได้ใช้นั่งใต้ร่มเงาของมัน ก็เหมือนกับความยั่งยืน ที่เกิดจากการลงมือทำเพื่ออนาคตของประเทศและลูกหลาน นายอัสสเดช กล่าวปิดท้าย

    ไทยเดินหน้านโยบายรับ Climate Chage

    ดร. พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า หากใครไม่ตั้งเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนในอนาคต ไม่สามารถเดินหน้าแข่งขันกับประเทศต่างๆ หรือธุรกิจในระดับสากลได้

    กลไกการปรับคาร์บอนชายแดน (CBAM) ของ EU ถูกนำเข้ามา ซึ่งมีผลกับสินค้าที่ปล่อยคาร์บอนเกินมาตรฐาน ถือว่าเป็นกลไกที่ใช้แล้ว 70 กว่าประเทศทั่วโลก และเรากำลังพัฒนาในประเทศไทยด้วย โดยมุ่งเน้นพลังงานที่ยั่งยืน ซึ่งเป็นกลไกที่ประเทศไทยขับเคลื่อนอยู่ 65% ของการปล่อยคาร์บอนมาจากภาคพลังงาน

    ยังมีอีกหลายประเด็นที่ไทยกำลังทำ เช่น กฎระเบียบของรัฐ ข้อตกลงระหว่างประเทศ ความต้องการของผู้บริโภค การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี ลดต้นทุน ทั้งนี้รวมถึงพลังงานแสงอาทิตย์ ESG CSR และการเงินสีเขียว

    เรื่องที่สำคัญที่ต้องตั้งรับคือ ข้อกำหนดการตัดไม้ทำลายป่าของ EU กำหนดว่าประเทศที่ส่งออกต้องระบุรายละเอียดและแสดงว่าผลิตภัณฑ์ไม่เกี่ยวกับการตัดไม้ทำลายป่า นักส่งออกไทยต้องเข้าใจและเตรียมความพร้อมกับข้อกำหนดนี้

    เมื่อกฎต่างๆ เข้มงวดขึ้น ประเทศไทยต้องก้าวไปข้างหน้าด้วยกลไกใหม่ กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศร่างกฎหมายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเสร็จ และกำลังผ่านกระบวนการเสนอนำเข้าคณะกรรมการ และคาดว่าจะใช้ในปี 2569

    หลายคนอาจกังวลว่ากฎหมายนี้จะกระทบนักลงทุนและผู้ประกอบการในประเทศ แต่ในความเป็นจริง เราไม่อยากออกกฎหมายที่มีผลกระทบแบบนั้น กฎหมายถูกออกแบบเพื่อส่งเสริมและกำหนดในแบบที่สมดุล ด้วย พ.ร.บ. นี้ ประเทศไทยสามารถมุ่งไปสู่ความยั่งยืน ที่ธุรกิจและสิ่งแวดล้อมอยู่ร่วมกันได้ และต้องปรับตัวให้เข้ากับมาตรฐานโลก เพื่อสร้างเศรษฐกิจที่มั่นคงและยั่งยืน

    พ.ร.บ. ลดโลกร้อน

    ดร. พิรุณ กล่าวต่อว่า พ.ร.บ. ฉบับนี้จะเอื้อให้ไทยมุ่งไปสู่ความยั่งยืนได้ ในมาตรา 14 หมวดของ พ.ร.บ. จะมีหมวดนโยบายและแผน เช่น เป้าหมายเน็ตซีโร่และคาร์บอนนิวทรัล ที่ต้องมีเป้าหมายราย 5 ปี ตามความตกลงปารีส

    ยกตัวอย่างหมวดที่ 2 จะเป็นเรื่องการลดก๊าซเรือนกระจก ไม่ว่าจะเป็นการใช้กลไกราคาราคาร์บอน ที่เป็น Emission Trading Scheme (ETS) การมีคาร์บอนแท็กซ์ หรือ BAM และเรื่อง VERRA คาร์บอนเครดิต

    ในหมวดที่ 3 จะเป็นเรื่องของแอพพลิเคชั่น หรือถ้าภัยพิบัติอุณหภูมิสูงขึ้นไม่สามารถลดลงได้ในช่วงเวลา 2-3 ทศวรรษข้างหน้า ไทยและสังคมไทยจะอยู่กันอย่างไร กรุงเทพฯ น้ำจะท่วมหรือไม่ถ้าซีนาริโอยังเป็นแบบนี้อีก

    (สำหรับรายละเอียด 14 หมวด คลิ๊กที่นี่)

    สิ่งที่เราอยากเห็นคือ Emission Trading Scheme และคาร์บอนแท็กซ์ ซึ่งเป็นภาคบังคับ แต่ทั้งสองส่วนนี้ต้องไม่ซ้อนทับกัน ไม่สร้างภาระที่ซ้ำซ้อนให้กับผู้ประกอบการ วันนี้เราก็มีการคุยกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งกรมสรรพสามิต กรมศุลกากร และอื่นๆ เรียบร้อยแล้ว

    ตั้งหน่วยงานใหม่ดู Climate Fund

    ดร. พิรุณ กล่าวด้วยว่า สิ่งที่อยากเริ่มต้น คือมี Climate Fund โดยจะตั้งเป็นหน่วยงานแยกออกมาจากกรมฯ เป็นอีกหน่วยงานหนึ่ง ซึ่งจะมี Fund Manager ที่มีประสบการณ์ทางด้านนี้เข้ามาจัดการ มีการตั้งระบบการทำงานและเปอร์เซ็นต์ทั้งหมดภายใต้เงินของกองทุนเพื่อการจ้างงาน

    ดังนั้น กรมฯจะไม่ดูแลเรื่องการบริหารของ Climate Fund แต่จะดูแลภาพรวมเชิงนโยบายในการจัดสรรเงินให้หน่วยงานต่างๆ ซึ่งสามารถเป็นเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำพิเศษ หรือเงินให้เปล่าได้

    แผนการนี้จะคลอบคลุมทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นบริษัทใหญ่หรือ SMEs หลักการคือเน้นเอสเอ็มอีและชุมชนเป็นหลัก การให้เงินจะร่วมในโปรเจคการลงทุนด้านเทคโนโลยี และการทำ R&D สิ่งเหล่านี้อยู่ในกลุ่มของกองทุนด้วย

    ในช่วงแรกเป็นการรีพอร์ตข้อมูลที่ต้องทำ MoU กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในวันนี้ สิ่งต่างๆ ที่เห็น เป็นการยกระดับร่าง พ.ร.บ. ว่าถ้าเรามี Climate Fund แล้ว มีเงินเท่าไหร่ และจะสามารถเอาเงินนั้นกลับมาสนับสนุนหน่วยงาน องค์กร บริษัท ที่เข้าถึงภาคบังคับได้อย่างไร

    กลไก Taxonomy

    ดร. พิรุณ กล่าวถึงกลไกอีกด้านหนึ่งคือเรื่อง Taxonomy ได้มีการนำร่องเฟสแรกและเฟสสอง ซึ่งตอนนี้อยู่ระหว่างการรับฟังความคิดเห็น สิ่งที่กรมต้องการคือการจัดกลุ่มกิจกรรมทางเศรษฐกิจ เพื่อให้การพูดถึงเรื่อง Green Finance ง่ายขึ้นและมีความเป็นรูปธรรมมากขึ้น

    ซึ่งหากธุรกิจเป็น "สีเขียว" คือธุรกิจที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและควบคุมอุณหภูมิไม่ให้เกิน 1.5°C ส่วนหากเป็น "สีเหลือง" ก็จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจริงแต่ไม่สอดคล้องกับเป้าหมายโลก ส่วน "สีแดง" ก็คือธุรกิจที่ไม่ได้ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเลย

    การมีระบบนี้จะทำให้การอธิบายเรื่อง Green Finance ง่ายขึ้นและตรงไปตรงมาในอนาคต เราต้องมีสิ่งนี้เพราะตลาดทุนกังวลเกี่ยวกับ Greenwashing คือการที่ธุรกิจอ้างว่าตนเองทำการปฏิบัติเพื่อลดก๊าซเรือนกระจก แต่ความจริงอาจไม่ได้ทำเพียงพอ

    เชื่อมโยงข้อมูล

    ดร. พิรุณ กล่าวในตอนท้ายว่า สิ่งที่กำลังทำงานกับกรมศุลกากรและกรมอื่นๆ คือการเชื่อมโยงข้อมูลของกรม และองค์กรที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้นักลงทุนไม่ต้องส่งข้อมูลหลายครั้งในที่ต่าง ๆ

    การใช้ Data Digital Document จะช่วยลดต้นทุนในการปฏิบัติงานและทำให้ง่ายขึ้น และเมื่อ ETS เกิดขึ้นเราสามารถเชื่อมโยงตลาดการซื้อขายระหว่าง Primary Market และ Secondary Market ของคาร์บอน และการซื้อขายคาร์บอนเครดิตภาคสมัครใจที่มาเชื่อมกับตลาดภาคบังคับ ซึ่งจะสร้างดีมานด์ให้กับเอกชนที่ถูกบังคับในการลดก๊าซเรือนกระจก

    Climate Finance

    ดร. รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) กล่าวว่า เครื่องมือทางการเงินเพื่อการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศหรือ Climate Finance เป็นหนึ่งในกลไกสำคัญที่จะช่วยให้เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกเติบโตได้อย่างสมดุลและยั่งยืน

    ปัจจุบันโลกยังคงมีความต้องการ Climate Finance อีกมาก EXIM BANK จึงมุ่งดำเนินบทบาท Green Development Bank เร่งเติมเต็ม Climate Finance ในประเทศไทย ส่งเสริมให้ภาคธุรกิจเร่งขับเคลื่อนเศรษฐกิจสีเขียว ให้ความสำคัญกับการรายงานข้อมูลคาร์บอนฟุตพริ้นท์โดยสอดคล้องกับหลักเกณฑ์และมาตรฐานสากล ยกระดับความโปร่งใสและความน่าเชื่อถือให้กับโครงการหรือกิจการที่มุ่งสู่เป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและการพัฒนาอย่างยั่งยืน

    ในการนี้ ทุกภาคส่วนต้องบริหารจัดการข้อมูลคาร์บอนฟุตพริ้นท์ภายในองค์กรและบูรณาการข้อมูลคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของคู่ค้า ลูกค้า และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียตลอดห่วงโซ่คุณค่า ทั้งนี้ เพื่อแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายและต้นทุนที่อาจเพิ่มขึ้นจากการดำเนินการดังกล่าว EXIM BANK พร้อมให้การสนับสนุนทางการเงิน เพื่อแบ่งเบาภาระและส่งเสริมให้ผู้ประกอบการสามารถบริหารจัดการข้อมูลคาร์บอนฟุตพริ้นท์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยเงินทุนหมุนเวียน อัตราดอกเบี้ยพิเศษ เริ่มต้นเพียง 1.99% ต่อปี (อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยตลอด 3 ปี 4.99% ต่อปี)

    ที่มา : https://www.bangkokbiznews.com/environment/1162634